วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สอบปลายภาค



1.ความหมายคำว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญ  พระราชบัญญัติ  พระราชกำหนด  พระราชกฤษฎีกา  เทศบัญญัติ เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย 
ตอบ  กฎหมายรัฐธรรมนูญ คือ  กฎหมายสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศ
         พระราชบัญญัติ  คือ  กฎหมายที่ ใช้บังคับอยู่เป็นประจำตามปกติ เพื่อวางกฎระเบียบบังคับความประพฤติของบุคคลรวมทั้งองค์กรและเจ้าหน้าที่ของ รัฐ
          พระราชกำหนด คือ  เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยฝ่ายบริหารในสถานการณ์อันมีความจำเป็นรีบด่วนเพื่อ ประโยชน์แห่งรัฐ
          พระราชกฤษฎีกา คือ บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญพระราชบัญญัติ  เพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี มีศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ  
           เทศบัญญัติ  คือ   กฎหมายที่เทศบาลออกเพื่อใช้บังคับในเขตเทศบาลทั้งนี้อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 ผู้เสนอร่างเทศบัญญัติ ได้แก่ นายกเทศมนตรี สมาชิกสภาเทศบาล หรือราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเทศบาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ.2542
  ต่างกัน  เพราะ  กฎหมายบางกฎหมายมีข้อบังคับใช้ไม่เหมือนกัน  และกฎหมายยังช่วยให้มีความสงบสุข  ไม่เกิดความวุ่นวายในสังคม  กติกา  มาบังคับใช้ให้ทุกคนอยู่ในกฎระเบียบ 
2.กฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ใช้ในการปกครองประเทศ ปัจจุบันเป็นอย่างไร ในการกำหนดออกกฎหมายสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุดของการประกาศใช้เป็นอย่างไร หากเราไม่มีรัฐธรรมนูญนักศึกษาคิดว่าจะเป็นอย่างไร อธิบาย
ตอบ  กฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ใช้ในการปกครองประเทศ ปัจจุบัน  มีการให้อำนาจฝ่ายบริหารโดยไม่มีการถ่วงดุล ทำให้ฝ่ายบริหารมีความเฉียบขาดในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดความฉับไวในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน แต่ก็นำมาซึ่งการใช้อำนาจรัฐในทางที่ผิดโดยมีการสั่งลงโทษประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปแล้วเป็นจำนวนมาก  
       ในการกำหนดออกกฎหมายสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุด  การประกาศใช้ควรมีกฎเกณฑ์ มีกติกา ระเบียบวัฒนธรรมและประเพณีของแต่ละสังคมเป็นเครื่องยึดถือปฏิบัติ เพื่อให้สังคมมีระเบียบ ทำให้เกิดความสงบ
เรียบร้อยและอยู่อย่างสันติสุข ซึ่งกฎเกณฑ์หรือกติกาของสังคมดังกล่าวได้แก่รัฐธรรมนูญและกฎหมายต่าง ๆ ที่ใช้บังคับอยู่ในสังคม
หากเราไม่มีรัฐธรรมนูญ  กระผมคิดว่า  บ้านเมืองจะไม่มีความสงบสุข  เกิดความวุ่นวายในสังคม  ไม่มีกฎระเบียบ  กติกา  มาบังคับใช้ให้ทุกคนอยู่ในกฎระเบียบและไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมาย  คิดจะทำอะไรก็ไม่มีความผิด
 3.ในสภาพปัจจุบันการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 112 มีนักวิชาการต้องการจะ แก้ไขท่านคิดว่าควรที่จะแก้ไขหรือไม่ประเด็นใดอธิบายให้เหตุผล
ตอบ  ไม่ควรแก้ไข  เพราะ  เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าวจะเห็นได้ว่า    โดยเนื้อหาแล้วก็เหมือน กับความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา กล่าวคือ การจะหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาก็ใช้นิยามเดียวกัน คือ การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามอันน่าจะทำให้ผู้อื่นเสียหายจะมีส่วนที่แตกต่างกันเพียงสามประการ  คือ
1.  หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์มีโทษหนักกว่าหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา
2.  หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ไม่อาจนำเหตุให้กระทำการได้ตามมาตรา 329  และมาตรา 330มาอ้างได้  และ
3.  ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เป็นความผิดเกี่ยวด้วยความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
4.การที่มวลมหาประชาชนมีความไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งและให้รัฐบาลลาออกจากการรักษาการและจะปฏิรูป ท่านในฐานะติดตามข่าวสารบ้านเมืองขณะนี้ ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ให้ยกเหตุผลประกอบคำอธิบาย
ตอบ  เห็นด้วย  เนื่องจากปัญหาต่างๆจะไม่เกิดขึ้นเลยหากรัฐบาลยอมรับฟังเหตุผลของคนที่ออกมาเรียกร้องขอปฏิรูปการเลือกตั้งก่อน  เพราะประชาชนเหล่านี้เห็นว่าการที่เดินหน้าเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกที่ดีแต่เมื่อเลือกตั้งแล้วผลที่ออกมารัฐบาลที่ได้มาเพราะการซื้อเสียงสุดท้ายประเทศก็จะกลับมาอยู่แบบเดิมไม่มีการพัฒนา   แต่กลับยิ่งย่ำแย่หากความก้าวหน้าตกไปอยู่ที่บุคคลที่โกงกินชาติบ้านเมือง  ประชาชนเหล่านี้เน้นย้ำเสมอว่าพวกเขายังเคารพการเลือกตั้งที่เรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตยเพียงแต่ พวกเขาต้องการให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใส   ได้รัฐบาลที่มีความสามารถมาบริหารประเทศ   ประเทศไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจมืดของใครคนใดคนหนึ่ง   ถ้ารัฐบาลไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องจริงรัฐบาลก็ควรถอยเพื่อให้ประเทศชาติได้ปฏิรูปก่อน  ให้คนอื่นที่ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับเข้ามาบริหารประเทศดูบ้าง  ว่ามีความเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน   ถ้ารัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศดีจริงเชื่อว่าสักวันประชาชนคงให้การยอมรับเข้ามาทำหน้าที่อีกครั้ง  แต่ตอนนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ารัฐบาลชุดนี้ต้องพิจารณาตัวเองและถอยออกไปก่อนที่จะไม่มีที่ให้ยืน
5.การเลือกตั้งล่วงหน้ามีข้อคัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับมวลมหาประชาชนและประชาชนที่รัฐบาลจัดตั้ง(คนเสื้อแดง)และนำประชาชนชาวเขมรเพื่อนำมาเข่นฆ่าคนไทยท่านเห็นด้วยกับรัฐบาลหรือไม่ ยกเหตุผลประกอบคำอธิบาย
ตอบ  ไม่เห็นด้วย เนื่องจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องการเมืองภายในประเทศไม่จำเป็นที่จะต้องนำคนนอกประเทศมาเกี่ยวข้อง เพราะจะทำให้เรื่องบานปลาย  เกิดความวุ่นวาย  นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบในเรื่องของความขัดแย้งระหว่างประเทศ  และจะเห็นได้ว่ารัฐบาลชุดนี้พยายามดำรงตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองแต่ไม่ได้พัฒนาประเทศมีแต่การจะกอบโกยผลประโยชน์ของประเทศโดยไม่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย   ทำให้รัฐบาลชุดนี้ ไม่มีความชอบธรรมเพราะตอนนี้คนส่วนใหญ่ออกมาเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง แต่รัฐบาลยังคงต่อต้านเพราะคิดว่าการที่ตนได้มาเป็นรัฐบาลนั้นมาจากเสียงส่วนใหญ่และนั้นคือประชาธิปไตยแล้ว   แต่จริงๆถ้ามองให้ดีรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ยึดถือประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเนื่องจากถ้าเขายังถือประชาธิปไตยที่ยึดเสียงส่วนใหญ่ที่ว่าก็จริง   แต่ก็ควรฟังเสียงประชาชนอีกฝ่ายหนึ่งด้วย  ไม่ใช่เมื่อพวกเขาไม่เห็นด้วยรัฐบาลจะใช้ความรุนแรงโดยให้คนอื่นที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเข่นฆ่าคนไทย  เพราะประชาชนเหล่านี้มีสิทธิ  เสรีภาพ  ความเสมอภาพเท่าเทียมกัน  รัฐบาลจึงควรรับฟังและแก้ปัญหาโดยการพูดคุยไม่ใช่ใช้ให้คนอื่นมาใช้ความรุนแรงกับคนในประเทศ  แล้วแบบนี้ยังจะเรียกตนเองว่าเป็นผู้นำได้อย่างไรในเมื่อท่านยังยืมมือคนอื่นมาฆ่าประชาชนคนในปกครอง
 6.พระราชบัญญัติการศึกษาเปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญการศึกษา ท่านเห็นด้วยกับประเด็นนี้หรือไม่ อธิบายให้เหตุผล
ตอบ   เห็นด้วย กับ “ พระราชบัญญัติการศึกษาเปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญการศึกษา ” เพราะในรัฐธรรมนูญก็ได้มีสาระสำคัญของการศึกษาเขียนไว้ และพระราชบัญญัติการศึกษาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ร่างขึ้นมาโดยใช้รัฐธรรมนูญการศึกษา เป็นหัวใจสำคัญและเป็นแนวทางในการร่างและเขียนพระราชบัญญัติการศึกษา ขึ้นมา เพื่อนำมาประกาศใช้และใช้เพื่อพัฒนาคนไทยทุกคนให้มีการศึกษาทุกคนอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง ตามจุดมุ่งหมายของการพัฒนาศักยภาพคนไทย
7.ในการจัดการศึกษานักศึกษาคิดว่ามีความมุ่งหมายและหลักการจัดการในการจัดการศึกษา อย่างไร
ตอบ  ความมุ่งหมายของการจัดการศึกษา เป็นการกำหนดจุดมุ่งหมายทั่วไปที่เป็นอุดมการณ์ของการศึกษา หรือปรัชญาการศึกษาที่มุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในมิติต่างๆ ที่ถือว่าสำคัญทางการศึกษา ได้แก่ ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรมและเนื่องจากจุดเน้นในส่วนนี้อาจจะทำให้เกิดการแปลความไปได้ว่ามุ่งพัฒนา "ปัจเจกบุคคล" เพียงด้านเดียว ฉะนั้นจึงได้กำหนดต่อไปว่า การพัฒนาดังกล่าวนั้น
มุ่งให้คนไทย "มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข" การเพิ่มมิติด้านสังคมนี้เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่มีความสมดุลระหว่างส่วนบุคคลและส่วนรวม
 หลักการสำคัญของการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติฉบับนี้กำหนดไว้ 3 ข้อ ซึ่งจำเป็น
ต้องขอขยายความดังนี้
1. เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน
2. ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
 3. การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
8.มีบุคคลหนึ่งเข้าไปเป็นครูสอนหนังสือในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอยู่เป็นประจำกรณีมิได้รับการบรรจุเป็นครู หากพิจารณาตามกฎหมายถ้าผิดกฎหมายท่านคิดว่าจะถูกลงโทษอย่างไร   หากไม่ผิดกฎหมายท่านคิดว่าจะมีวิธีการทำอย่างไร
ตอบ  ไม่ผิด เพราะ ในพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางศึกษา พ..2546 ได้กำหนดไว้ว่าห้ามมิให้ผู้ใดประกอบวิชาชีพควบคุม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่กรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
                   1. ผู้ที่เข้ามาให้ความรู้แก่ผู้เรียนในสถานศึกษาเป็นครั้งคราวในฐานะวิทยากรพิเศษทางการศึกษา
                   2.ผู้ที่ไม่ได้ประกอบวิชาชีพหลักทางด้านการเรียนการสอนแต่ในบางครั้งต้องทำหน้าที่สอนด้วย
                  3.นักเรียน นักศึกษา หรือผู้รับการฝึกอบรมหรือผู้ได้รับใบอนุญาตปฏิบัติการสอน ซึ่งทำการฝึกหัดหรืออบรมในความควบคุมของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาซึ่งเป็นผู้ให้การศึกษาหรือฝึกอบรม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด
                  4. ผู้ที่จัดการศึกษาตามอัธยาศัย
                  5. ผู้ที่ทำหน้าที่สอนในศูนย์การเรียนตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ หรือสถานที่เรียนที่หน่วยงานจัดการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์ และสถาบันสังคมอื่นเป็นผู้จัด
                  6.   คณาจารย์ ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษาในระดับอุดมศึกษาระดับปริญญาทั้งของรัฐและเอกชน
                  7. ผู้บริหารการศึกษาระดับเหนือเขตพื้นที่การศึกษา
                  8. บุคคลอื่นตามที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนดซึ่งผู้ที่เข้าไปสอนอาจจะกระทำในกรณีใดกรณีหนึ่งซึ่งถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งก็ไม่ต้องแก้ไขอะไร แต่หากว่าอยากจะเข้าไปสอนในสถานศึกษาเป็นกรณีประจำก็ควรจะไปสอบบรรจุให้เรียบร้อยเพื่อจะได้ไม่เป็นปัญหาในภายหลัง
9.หากนักศึกษาต้องการสอบบรรจุเป็นครูผู้ช่วยจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร
ตอบ  1.มีวุฒิไม่ต่ำกว่า ป.ตรีทางการศึกษา หรือทางอื่นที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กำหนดเป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งนี้
 2.มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หรือใบอนุญาตปฏิบัติการสอน
 3. ไม่เป็นพระภิกษุสามเณร นักพรต นักบวช
 10.ให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นว่าเมื่อเรียนวิชานี้ นักศึกษาได้อะไรบ้างครูผู้สอนวิชาชีพโดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ Weblog มีความเหมาะสมและเป็นไปได้อย่างไร  วิจารณ์แสดงความคิดเห็น และนักศึกษาคิดว่าตนเองจะได้เกรดอะไร  
ตอบ       จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เรียนมาทั้งหมด   โดยเฉพาะเรื่องกฎหมาย    เรียกได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องเรียนรู้ยึดถือและปฏิบัติ  ก่อนหน้านี้กระผมคิดว่ากฎหมายเป็นเรื่องไกลตัว  แต่เมื่อได้มาเรียนวิชานี้ทำให้กระผมเปลี่ยนมุมมองความคิดและเห็นความสำคัญมากยิ่งขึ้น   โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับครู  ซึ่งกระผมคิดว่าคนที่จะเป็นครูนอกจากจะมีความรู้ในศาสตร์วิชาเอกแล้วก็จะต้องรู้กฎหมายควบคู่ไปด้วยจะได้ไม่กระทำความผิด  และรู้จักรักษาสิทธิ์ของตนเองที่มีทางกฎหมาย  และการที่อาจารย์ผู้สอนได้ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องในการสอนนั้นเป็นสิ่งที่ดีและกระผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเพราะ  ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าและพัฒนาไปมากหากเรานำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมก็จะเป็นสื่อการสอนที่มีประสิทธิภาพได้    ผู้เรียนจะได้รับความรู้ทั้งในส่วนของเนื้อหาและสามารถใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ได้  และจะเห็นได้ว่าWeblog  เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที  สะดวก  รวดเร็ว
ทั้งนี้กระผมคิดว่าต่อไปภายหน้าการเรียนรู้ก็จะต้องมาควบคู่กับเทคโนโลยี  กระผมจึงคิดว่าการเรียนแบบนี้เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้กระผมได้รับทั้งความรู้ในส่วนของรายวิชาและการได้นำความรู้นั้นมาสรุปรวบรวมเป็นองค์ความรู้ความเข้าใจสามารถเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้แสดงความคิดเห็นและได้รับความรู้อย่างหลากหลายไม่จำกัดว่าผู้ที่เข้ามาศึกษาจะเป็นใคร  จึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่หลากหลายขึ้นเพียงแค่นำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์  ตลอด 1 ภาคเรียนที่ผ่านมาในรายวิชานี้กระผมคิดว่า  สำหรับกระผมแล้วเกรดที่น่าจะเหมาะสมที่สุด คือ A  เนื่องจากอยู่ในระดับเหมาะสมกับความรู้และความสามารถที่ได้รับจากวิชานี้  

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

อนุทิน 9



แบบฝึกหัด
ให้นักศึกษาอ่านระเบียบต่าง ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อนักศึกษาอ่านระเบียบแล้วให้สรุปประเด็นที่สำคัญ เช่น ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่องอะไร ประกาศใช้เมื่อใด ใครเป็นผู้ลงนามในระเบียบนั้น เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้ ที่จะต้องนำไปปฏิบัติคือประเด็นใด โดยสรุปตามหัวข้อระเบียบที่กำหนดไว้ ดังหัวข้อดังต่อไปนี้ 
  1.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการขอบคุณและอนุโมทนา พ.ศ.  2547
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการขอบคุณและอนุโมทนา ประกาศเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2547 โดยมีนายอดิศัย โพธารามิก เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเนื้อหาสาระที่ได้ คือ เมื่อมีผู้บริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือแรงงาน ไม่ว่ารายเดียวหรือหลายรายให้แก่ส่วนราชการหรือสถานศึกษา ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หัวหน้าส่วนราชการต้นสังกัดที่ได้รับผลประโยชน์สำหรับการบริจาคตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่ถึงสิบล้านบาท ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการสำนักบริหารงาน หัวหน้าส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น ที่ได้รับบริจาคไม่ถึงห้าล้านบาท ตอบขอบคุณหรืออนุโมทนาและออกประกาศเกียรติคุณ
2.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการประชาสัมพันธ์และการให้ข่าวสาร พ.ศ.2548                                                                            
ตอบ กระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการประชาสัมพันธ์และการให้ข่าวสาร ประกาศเมื่อวันที่ 29กันยายน พ.ศ. 2548 โดยมีนายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้ คือ การประชาสัมพันธ์หรือการให้ข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายและการปฏิบัติงานประจำของกระทรวงศึกษาธิการ ให้รัฐมนตรีเป็นผู้ประชาสัมพันธ์หรือให้ข่าวสาร
การประชาสัมพันธ์หรือการให้ข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายและการปฏิบัติงานประจำของส่วนราชการให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ประชาสัมพันธ์หรือให้ข่าวสาร  ในการประชาสัมพันธ์หรือการให้ข่าวสาร ผู้มีอำนาจดำเนินการตามระเบียบนี้จะมอบหมายเป็นหนังสือให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งใดก็ได้โดยให้คำนึงถึงระดับ ตำแหน่ง หน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นสำคัญ
3.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้งรวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550
                 ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้ง รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกาศเมื่อวันที่ 3มกราคม พ.ศ. 2550 โดยมีนายวิจิตร ศรีสอ้าน เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้ คือ การจัดตั้งสถานศึกษา
ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาจัดตั้งสถานศึกษาใหม่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจัดทำแผนการจัดตั้งสถานศึกษา และนำเสนอคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา โดยสถานศึกษาที่จะจัดตั้งขึ้นในชุมชนใดต้องมีจำนวนนักเรียน ดังต่อไปนี้
ระดับประถมศึกษา ต้องมีจำนวนนักเรียนในแต่ละรายอายุไม่น้อยกว่ายี่สิบห้าคนมาเข้าเรียน ถ้ามีนักเรียนในแต่ละรายอายุไม่ถึงยี่สิบห้าคน แต่มากกว่าสิบคน ให้จัดตั้งเป็นสาขาของ สถานศึกษาอื่น
ระดับมัธยมศึกษา ต้องมีจำนวนนักเรียนที่จะมาเข้าเรียนชั้นละไม่น้อยกว่าแปดสิบคน
ถ้ามีนักเรียนไม่ถึงชั้นละแปดสิบคน แต่มากกว่าสี่สิบคน ให้จัดตั้งเป็นสาขาของสถานศึกษาอื่น
4.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการการปฏิบัติของผู้กำกับห้องสอบ พ.ศ.2548
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการการปฏิบัติของผู้กำกับห้องสอบ ประกาศเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2548 โดยมีนายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้ คือ ผู้กำกับการสอบต้องปฏิบัติตามระเบียบแผนการสอบ โดยต้องไปถึงสถานที่สอบก่อนเวลา เริ่มสอบตามสมควร กำกับการสอบให้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ไม่อธิบายคำถามใดๆในข้อสอบให้แก่ผู้เข้าสอบ ไม่กระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนผู้เข้าสอบ รวมทั้งไม่กระทำการใดๆ อันเป็นการทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของผู้กำกับการสอบไม่สมบูรณ์ ต้องแต่งการให้สุภาพเรียบร้อยตามส่วนราชการ หรือสถานศึกษากำหนด หากผู้กำกับการสอบทำการใด ประมาท เลินเล่อ หรือจงใจ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ถือว่าผิดวินัยร้ายแรง
5.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2548
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา ประกาศเมื่อวันที่ 18มกราคม พ.ศ. 2548 โดยมีนายอดิศัย โพธารามิก เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้ คือ “การลงโทษ” หมายความว่า การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิด โดยมีความมุ่งหมาย เพื่อการอบรมสั่งสอน
    โทษที่จะลงโทษแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิด มี 4สถาน ดังนี้
1. ว่ากล่าวตักเตือน
2. ทำทัณฑ์บน
3. ตัดคะแนนความประพฤติ
4. ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
   ห้ามลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรง หรือแบบกลั่นแกล้ง หรือลงโทษด้วยความโกรธ หรือด้วยความพยาบาท โดยให้คำนึงถึงอายุของนักเรียนหรือนักศึกษา และความร้ายแรงของพฤติการณ์ประกอบการลงโทษด้วย 
               การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาให้เป็นไปเพื่อเจตนาที่จะแก้นิสัยและความประพฤติไม่ดีของนักเรียนหรือนักศึกษาให้รู้สำนึกในความผิด และกลับประพฤติตนในทางที่ดีต่อไปให้ผู้บริหารโรงเรียนหรือ
สถานศึกษา หรือผู้ที่ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษามอบหมายเป็นผู้มีอำนาจในการลงโทษนักเรียน นักศึกษา
6.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยกำหนดเวลาและวันหยุดราชการของสถานศึกษา พ.ศ.2547
                  ตอบ  ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยกำหนดเวลาและวันหยุดราชการของสถานศึกษา ประกาศเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2547 โดยมีนายอดิศัย โพธารามิก เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้ คือ “เวลาราชการ” หมายความว่า เวลาระหว่าง 08.30 ถึง 16.30ของวันทำการ และให้หมายความรวมถึงช่วงเวลาอื่นที่ส่วนราชการกำหนดให้ข้าราชการในสังกัดปฏิบัติงานเป็นผลัดหรือกะหรือเป็นอย่างอื่นด้วย
วันทำการ” หมายความว่า วันจันทร์ถึงวันศุกร์ และให้หมายความรวมถึงวันทำการ ที่ส่วนราชการกำหนดเป็นอย่างอื่นด้วย
วันหยุดราชการ” หมายความว่า วันเสาร์และวันอาทิตย์ หรือวันหยุดราชการประจำสัปดาห์ที่ส่วนราชการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น และให้หมายความรวมถึงวันหยุดราชการประจำปีหรือวันหยุดพิเศษอื่น ๆ ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการนอกเหนือจากวันหยุดราชการประจำปี
7.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการตั้งชื่อสถานศึกษา พ.ศ.2547
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการตั้งชื่อสถานศึกษา ประกาศเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2547 โดยมีนายอดิศัย โพธารามิก เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเนื้อหาสาระที่ได้ คือ สถานศึกษาที่มีความประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือกำหนดชื่อสถานศึกษา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการตั้งชื่อสถานศึกษา พ.ศ. 2547 ที่กำหนดไว้ มีสาระสำคัญดังนี้
1. การกำหนดชื่อสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ใช้คำว่า “โรงเรียน” เป็นคำขึ้นต้นและต่อท้ายด้วยชื่อจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน วัด ชื่อบุคคลผู้ได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์ หรือสถานที่อื่นใด แล้วแต่กรณี
              2. การกำหนดชื่อสถานศึกษา ต้องไม่ขัดกับกฎหมาย หรือระเบียบของทางราชการ
3. ไม่เป็นชื่อพระนามของพระมหากษัตริย์หรือพระราชินี หรือพระบรมวงศานุวงศ์ เว้นแต่ได้รับพระราชทาน หรือสมเด็จพระสังฆราชประทานให้ และไม่เป็นชื่อพ้อง หรือ มุ่งหมายให้คล้ายกับราชทินนาม เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของราชทินนามหรือทายาท
             4. ชื่อสถานศึกษาต้องใช้ภาษาไทย
             5. ชื่อสถานศึกษาที่กำหนด ต้องไม่ซ้ำกับชื่อสถานศึกษาอื่น
6. ชื่อสถานศึกษาไม่ควรมีความยาวเกินความจำเป็น
              7. หากสถานศึกษาใด มีความประสงค์ที่จะกำหนดชื่อสถานศึกษาโดยใช้ชื่อผู้บริจาคเป็นชื่อสถานศึกษาหรือกรณีอื่น ๆ ต่อท้ายนอกเหนือที่กำหนดไว้ใน ข้อ 1 ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
8.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการตั้งชื่ออาคาร ห้อง หรืออุปกรณ์ของสถานศึกษา พ.ศ.2549
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการตั้งชื่ออาคาร ห้อง หรืออุปกรณ์ของสถานศึกษา ประกาศเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ.2549 โดยมีคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้คือ กระทรวงศึกษาธิการได้ออกระเบียบฯ ว่าด้วยการตั้งชื่ออาคาร ห้อง หรืออุปกรณ์ของสถานศึกษา พ.ศ. 2549 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2549 กำหนดว่าสถานศึกษา” หมายความว่า สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ยกเว้นสถานศึกษาสังกัดคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสถานศึกษาสังกัดคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ให้มีการตั้งชื่อที่เหมาะสมกับการบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้
1. การตั้งชื่ออาคารของสถานศึกษา ซึ่งมีผู้บริจาคให้สร้างอาคารทั้งหลัง โดยทุนทรัพย์ผู้เดียว หากผู้บริจาคนั้นประสงค์จะจารึกชื่อไว้ในอาคาร ควรให้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้บริจาค
2. การตั้งชื่อห้องซึ่งผู้บริจาคทรัพย์สร้างโดยทุนทรัพย์ผู้เดียว หากผู้บริจาคนั้นประสงค์จะจารึกชื่อไว้ที่ห้องควรให้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้บริจาค
3. การที่มีผู้จัดซื้อให้ หรือบริจาคทรัพย์เพื่อซื้ออุปกรณ์โดยทุนทรัพย์ผู้เดียว หากผู้จัดซื้อหรือผู้บริจาคนั้นประสงค์จะจารึกชื่อไว้ที่อุปกรณ์ให้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้บริจาค
ถ้าผู้บริจาคทรัพย์เพื่อซื้ออุปกรณ์ร้อยละห้าสิบของราคาอุปกรณ์ขึ้นไป ประสงค์จะจารึกชื่อและผู้ร่วมบริจาคทรัพย์เพื่อซื้ออุปกรณ์เห็นชอบด้วย ให้จารึกชื่อผู้บริจาคนั้นไว้ที่อุปกรณ์
4. เพื่อเป็นการยกย่องบุคคลผู้มีคุณความดีเกี่ยวกับสถานศึกษาหรือท้องถิ่น แม้ไม่ได้บริจาคทรัพย์ให้สร้างอาคาร หากสถานศึกษาเห็นสมควร และประชาชนสนับสนุนการจารึกชื่อผู้นั้นไว้ที่อาคาร ให้อยู่ในดุลพินิจของส่วนราชการต้นสังกัดหรือส่วนราชการที่ต้นสังกัดมอบหมาย
9.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการแก้ วัน เดือน ปีเกิด ของนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2547
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการแก้ วัน เดือน ปีเกิด ของนักเรียนและประกาศเมื่อวันที่30 กันยายน พ.ศ. 2547 โดยมีนายอดิศัย โพธารามิก เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้ คือ ในกรณี วัน เดือน ปีเกิด ของนักเรียนและนักศึกษาผิดพลาดไม่ตรงกับความเป็นจริงด้วยเหตุที่เจ้าหน้าที่ของสถานศึกษาเขียนผิดพลาดหรือเขียนตกให้หัวหน้าสถานศึกษาเป็นผู้แก้ไขให้ถูกต้องตามที่เป็นจริงในหลักฐาน และการแก้ไขตกเติมให้ขีดฆ่าด้วยเส้นหมึกสีแดงโดยประณีตแล้วเขียนเติมลงใหม่ด้วยเส้นหมึกสีแดงโดยลงนามผู้แก้ และวัน เดือน ปี ย่อกำกับไว้ด้วยทุกแห่ง
ในกรณีที่ วัน เดือน ปีเกิด ของนักเรียนและนักศึกษาผิดพลาดและมีผู้ร้องขอให้แก้ผู้ร้องจะต้องส่งคำร้องตามแบบท้ายระเบียบนี้ และเอกสารหลักฐานมาแสดงต่อสถานศึกษาเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัย วัน เดือน ปีเกิด ตามลำดับความสำคัญ ดังนี้ คือ
(ก) สูติบัตรหรือทะเบียนคนเกิด
(ข) ถ้าหากเอกสารหลักฐานตามข้อ (ก) สูญหายหรือถูกทำลายก็ให้ส่งเอกสารอื่น ๆ ที่หน่วยราชการออกให้ เช่น สำเนาทะเบียนบ้าน ทะเบียนทหาร ทะเบียนคนต่างด้าว บัตรประจำตัวประชาชน
(ค) ในกรณีที่ปรากฏว่าเอกสารหลักฐานตามข้อ (ข) ที่หน่วยราชการออกให้นั้นวัน เดือน ปีเกิด ไม่ตรงกัน ให้พิจารณาข้อเท็จจริงเป็นราย ๆ ไป
10.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการบริหารจัดการและขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2546
ตอบ             ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง การบริหารจัดการและขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นการศึกษา พ.ศ.2546
ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2547  ผู้ลงนามในระเบียบ นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
   เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้ ให้สถานศึกษามีวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่เพื่อจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ และกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการในกิจการทั่วไปของสถานศึกษาที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกให้ผู้อำนวยการสถานศึกษา เป็นผู้แทนของนิติบุคคลสถานศึกษาให้สถานศึกษามีอำนาจปกครอง ดูแล บำรุง รักษา ใช้ และจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้แก่สถานศึกษา เว้นแต่การจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่มีผู้อุทิศให้สถานศึกษา ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
11.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการพานักเรียน และนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา พ.ศ.2548
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการพานักเรียน และนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา ประกาศเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2548 โดยมีนายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้ คือ ให้ทำหนังสือขออนุญาตเสนอผู้มีอำนาจอนุญาต ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15วัน การพานักเรียนและนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา ครู นักเรียน (/2คนขึ้นไป) กิจกรรมการเรียนการสอน ในหรือนอกเวลาสอน(ไม่นับเดินทางไกล+อยู่ค่ายพักแรมฯ)การไปนอกสถานที่ตามคำสั่งในทางราชการการพาไปนอกสถานศึกษาไม่ค้างคืน ผู้บริหารสถานศึกษาการพาไปนอกสถานศึกษาค้างคืน ผอ.สพท./ผู้รับมอบหมาย/ผู้มีอำนาจเหนือสถานศึกษา 1 ชั้น การพาไปนอกราชอาณาจักร หัวหน้าส่วนราชการ/ผู้ได้รับมอบหมายการควบคุม ผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้รับมอบหมาย ครู 1 : นักเรียนไม่เกิน 30 คน ถ้ามีนักเรียนหญิงต้องมีครูหญิง ส่งคำขออนุญาตพร้อมโครงการต่อผู้มีอำนาจอนุญาตก่อน อนุญาต ไป ไปมาแล้วให้รายงานต่อผู้อนุญาตทราบถือว่าไปราชการ เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
12.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษาต่อและอบรมภายในประเทศ (ฉบับที่ 2)พ.ศ.2547
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษาต่อและอบรมภายในประเทศ(ฉบับที่ 2ประกาศเมื่อวันที่ 30กันยายน พ.ศ. 2547 โดยมีนายอดิศัย โพธารามิก เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้คือ ข้าราชการครูต้องมีเวลารับราชการติดต่อกันไม่น้อยกว่า 24 เดือนเต็ม ทั้งนี้นับถึงวันที่ 15มิถุนายน ของปีที่จะเข้าศึกษา กรณีมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่
จะต้องให้ข้าราชการที่มีเวลารับราชการติดต่อกันน้อยกว่า 24 เดือนเต็ม แต่ ไม่น้อยกว่า 12เดือนเต็ม ไปศึกษาต่อในสาขาวิชาที่เป็นประโยชน์และจาเป็นอย่างยิ่ง จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้มีอานาจอนุญาตเป็นรายๆ ไป มีอายุไม่เกิน 45 ปี บริบูรณ์ นับถึงวันที่15มิถุนายน ของปีที่จะเข้าศึกษาปฏิบัติราชการด้วยดี มีความประพฤติเรียบร้อย และไม่อยู่ระหว่างถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัย ในกรณีที่ถูกลงโทษทางวินัย ระดับโทษต้องไม่สูงกว่าโทษภาคทัณฑ์
13.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดกิจกรรมสหกรณ์ในสถานศึกษา พ.ศ.2548
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดกิจกรรมสหกรณ์ในสถานศึกษา ประกาศเมื่อวันที่30 กันยายน พ.ศ. 2548 โดยมีนายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้ คือ ให้สถานศึกษาต่าง ๆ ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมสหกรณ์ขึ้นในสถานศึกษาโดยให้มีครูอาจารย์ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ในสถานศึกษาเป็นสมาชิก ในการจัดกิจกรรมสหกรณ์ในสถานศึกษา ให้มุ่งถึงประโยชน์ทางการศึกษาเป็นประการสำคัญ เงินที่ใช้ในการจัดกิจกรรมสหกรณ์ดังกล่าวนี้เรียกว่าเงินกิจกรรมสหกรณ์” ไม่ใช่เงินบำรุงการศึกษา และอยู่นอกการควบคุมของระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเงินบำรุงการศึกษา พ.ศ. 2520 ให้จัดทำบัญชีตามวิธีการของสหกรณ์แต่ละประเภท โดยอยู่ในความควบคุมของสถานศึกษา สถานศึกษาใดเริ่มจัดกิจกรรมสหกรณ์เมื่อใดสำหรับสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาคให้รายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบสำหรับสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในส่วนกลางหรือขึ้นตรงกับส่วนกลางให้รายงานอธิบดีเจ้าสังกัดทราบ
14.หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจัดข้าราชการเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการ พ.ศ.2550
ตอบ  ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2550  ผู้ลงนามในระเบียบ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้  กำหนดหลักการเพิ่มเติมให้ผู้มีอำนาจจัดที่พักของส่วนราชการสามารถใช้ดุลพินิจจัดให้ข้าราชการที่บรรจุเข้ารับราชการครั้งแรก  และเดือดร้อนในเรื่องที่อยู่อาศัยเข้าพักในที่พักของทางราชการได้  โดยจะต้องไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณเพิ่มขึ้น  กล่าวคือหากส่วนราชการใดจะใช้ดุลพินิจดังกล่าว จะต้องบริหารเงินงบประมาณที่ได้รับให้อยู่ภายในวงเงินที่ได้รับจัดสรรด้วย
แก้ไขบทบัญญัติที่อ้างอิงให้ถูกต้องสอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547  รวมทั้งปรับปรุงถ้อยคำของหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติบางส่วนให้มีความชัดเจนและเข้าใจยิ่งขึ้น เช่น บทบัญญัติที่อ้างฐานอำนาจให้ออกหลักเกณฑ์ฯ จากเดิมที่อ้างตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2527  และที่แก้ไขเพิ่มเติม  เปลี่ยนเป็นพระราชกฤษฎีกาเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ.2547 เป็นต้น
15.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการขยายชั้นเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการขยายชั้นเรียนในสถานศึกษาขั้นประกาศเมื่อวันที่ 6สิงหาคม พ.ศ. 2550 โดยมีนายวิจิตร ศรีสอ้าน เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้ คือ การขยายชั้นเรียนระดับประถมศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และชั้นประถมศึกษา ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาตามความเหมาะสม       การขยายชั้นเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาจากองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้ 
สถานศึกษาต้องผ่านการประเมินคุณภาพการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานสถานศึกษาต้องมีอาคาร สถานที่เหมาะสม เพียงพอ และเอื้อต่อการจัดการเรียนการสอนมีจำนวนนักเรียนที่จะเข้าศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ไม่น้อยกว่า 40 คน ต้องมีครูที่มีคุณวุฒิ ความรู้ ความสามารถตรงกับงานที่รับผิดชอบมีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ และมีครูเพียงพอในกลุ่มสาระการเรียนรู้หลัก สถานศึกษาต้องมีครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีศักยภาพ พร้อมที่จะรองรับการจัดการ ศึกษาตลอดหลักสูตร
16.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้ง รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้ง รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกาศเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2550 โดยมีนายวิจิตร ศรีสอ้าน เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 
17.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา ประกาศเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2548 โดยมีนายอดิศัย โพธารามิก เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้ คือ เจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการเพื่อส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา ดังต่อไปนี้
1.สอบถามครู อาจารย์ หรือหัวหน้าสถานศึกษา เกี่ยวกับความประพฤติ การศึกษา นิสัย และสติปัญญาของนักเรียนหรือนักศึกษาที่ฝ่าฝืนกฎกระทรวงว่าด้วยความประพฤติของนักเรียน และนักศึกษา หรือระเบียบของโรงเรียนหรือสถานศึกษา
2.เรียกให้ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ หรือหัวหน้าสถานศึกษาที่นักเรียนหรือนักศึกษานั้นกำลังศึกษาอยู่มารับตัวนักเรียนหรือนักศึกษา เพื่อว่ากล่าว อบรม สั่งสอน ต่อไป
3.ให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครองในเรื่องการอบรมและสั่งสอนนักเรียนหรือนักศึกษา
4.เรียกผู้ปกครองมาว่ากล่าวตักเตือนหรือทำทัณฑ์บนว่าจะปกครองดูแลมิให้นักเรียน หรือนักศึกษาฝ่าฝืนกฎกระทรวงว่าด้วยความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา หรือระเบียบของโรงเรียนหรือสถานศึกษาอีก
5.สอดส่อง ดูแล รวมทั้งรายงานต่อคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคล หรือแหล่งที่ชักจูงนักเรียนและนักศึกษาให้ประพฤติในทางมิชอบ
6.ประสานงานกับผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษา ครู ผู้ปกครอง ตำรวจ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่อื่น
18.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.2551
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน ประกาศเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.. 2551 โดยมีนายศรีเมือง เจริญศิริเป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเนื้อหาสาระที่ได้ คือ ให้สถานศึกษาโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษากำหนดให้รายละเอียดเกี่ยวกับการแต่ง วิธีการ และเงื่อนไขในการแต่งเครื่องแบบนักเรียนดังนี้
ชนิดและแบบของเครื่องแบบ รวมทั้งจัดทำรูปเครื่องแบบตามระเบียบนี้ไว้เป็นตัวอย่างเครื่องหมายของสถานศึกษาการกำหนดรายละเอียดตามวรรคหนึ่งให้สถานศึกษาขอความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง หรือผู้กำกับดูแลสถานศึกษานั้น แล้วแต่กรณี และประกาศให้นักเรียนและผู้ปกครองนักเรียนทราบ
สถานศึกษาใดมีความประสงค์จะขอใช้เครื่องแบบเป็นอย่างอื่นนอกจากที่กำหนดในระเบียบนี้ให้ขออนุญาตต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งหรือผู้กำกับดูแลสถานศึกษานั้นแล้วแต่กรณีสถานศึกษาใดจะกำหนดให้นักเรียนแต่งเครื่องแบบลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด นักศึกษาวิชาทหารหรือแต่งชุดพื้นเมือง ชุดไทย ชุดลำลองชุดฝึกงาน ชุดกีฬา ชุดนาฏศิลป์ หรือชุดอื่น ๆ แทนเครื่องแบบนักเรียนตามระเบียบนี้ในวันใด ให้เป็นไปตามที่สถานศึกษากำหนดโดยคำนึงถึงความประหยัดและเหมาะสม
19.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ.2548
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา ประกาศเมื่อวันที่ 5กันยายน พ.. 2548 โดยมีนายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้คือ ให้สถานศึกษาถือเป็นหน้าที่ ในการที่จะรับเด็กที่อยู่ในวัยการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ เข้าเรียนในสถานศึกษา กรณีเด็กย้ายที่อยู่ใหม่ สถานศึกษาต้องอำนวยความสะดวก และติดตามให้เด็กได้เข้าเรียน ในสถานศึกษาที่ใกล้กับที่อยู่ใหม่การรับนักเรียนนักศึกษาในกรณีที่ไม่เคยเข้าเรียนในสถานศึกษามาก่อน ให้สถานศึกษาเรียกหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งตามลำดับเพื่อนำมาลงหลักฐานทางการศึกษา ดังต่อไปนี้
1.สูติบัตร
2.กรณีที่ไม่มีหลักฐานตาม 1 ให้เรียกหนังสือรับรองการเกิด บัตรประจำตัวประชาชน
3.สำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน หรือหลักฐานที่ทางราชการจัดทำขึ้นในลักษณะเดียวกันในกรณีที่ไม่มีหลักฐานตาม 1หรือ 2ให้เรียกหลักฐานที่ทางราชการออกให้ หรือเอกสารตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้ใช้ได้
4.ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานตาม 1 2 และ 3ให้บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือองค์กรเอกชนทำบันทึกแจ้งประวัติบุคคล ตามแบบแนบท้ายระเบียบนี้ เป็นหลักฐานที่จะนำมาลงหลักฐานทางการศึกษา
5.ในกรณีที่ไม่มีบุคคล หรือองค์กรเอกชนตามให้ซักถามประวัติบุคคลผู้มาสมัครเรียนหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำลงรายการบันทึกแจ้งประวัติบุคคลตามแบบแนบท้ายระเบียบนี้เป็นหลักฐานที่จะนำมาลงหลักฐานทางการศึกษา
20.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา พ.ศ.2549
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา ประกาศเมื่อวันที่28 กันยายน พ.. 2549 โดยมีคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยาเป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้ คือ ปีการศึกษา
ภาคเรียนที่ 1 เปิดเรียน 16 พฤษภาคม ปิด 11 ตุลาคม ในปีเดียวกัน
ภาคเรียนที่ 2 เปิด 1 พฤศจิกายน ปิด 1 เมษายน ในปีถัดไปว่าด้วยการปิดเรียนกรณีพิเศษ คือ ปิดเพราะใช้สถานที่จัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร จัดอบรมสัมมนา เข้าค่าย พักแรม หรือกิจกรรมอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน หรือกรณีอื่น ๆ ที่ไม่สามารถเปิดเรียนตามปกติได้ ผู้อำนวยการโรงเรียน สั่งปิดได้ไม่เกิน 7 วัน โดยต้องมีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร แต่สั่งด้วยวาจาก่อนในกรณีจำเป็นได้ แต่ต้องจัดทำคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรให้เรียบร้อยภายใน 3 วัน ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่ฯสั่งปิดได้ไม่เกิน15 วันว่าด้วยการปิดเรียนเหตุพิเศษ คือเหตุจากสาธารณภัยหรือภัยพิบัติต่าง ๆ ผอ.ร.ร.สั่งปิดได้ไม่เกิน 15 วัน ผอ.สำนักงานเขตฯ สั่งปิดได้ไม่เกิน 30 วัน หากปิดครบแล้วเหตุการณ์ยังไม่สงบจะสั่งปิดต่อไปอีกได้โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของ ผู้อำนวยการโรงเรียน ระหว่างปิดนั้น ผอ.ร.ร.จะสั่งให้ครูมาปฏิบัติราชการด้วยก็ได้ ปิดแล้วต้องจัดวันเปิดสอนชดเชยให้ครบตามจำนวนวันเปิดเรียนปกติที่ปิดไปด้วย
21.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ พ.ศ. 2550  
                ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ ประกาศเมื่อวันที่ 21มกราคม พ.. 2550 โดยมีนายปรีดิยาธร เทวกุล เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เนื้อหาสาระที่ได้ คือเวลาราชการ” หมายความว่า เวลาระหว่าง08.30 ถึง 16.30 ของวันทำการ และให้หมายความรวมถึงช่วงเวลาอื่นที่ส่วนราชการกำหนดให้ข้าราชการในสังกัดปฏิบัติงานเป็นผลัดหรือกะหรือเป็นอย่างอื่นด้วยวันทำการ” หมายความว่า วันจันทร์ถึงวันศุกร์ และให้หมายความรวมถึงวันทำการ ที่ส่วนราชการกำหนดเป็นอย่างอื่นด้วยวันหยุดราชการ” หมายความว่า วันเสาร์และวันอาทิตย์ หรือวันหยุดราชการประจำสัปดาห์ที่ส่วนราชการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น และให้หมายความรวมถึงวันหยุดราชการประจำปีหรือวันหยุดพิเศษอื่น ๆ ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการนอกเหนือจากวันหยุดราชการประจำปีการปฏิบัติงานเป็นผลัดหรือกะ” หมายความว่า การปฏิบัติงานประจำตามหน้าที่ของข้าราชการในส่วนราชการนั้น ๆ ซึ่งจัดให้มีการปฏิบัติงานผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงช่วงเวลาที่ปฏิบัติงานดังกล่าวถือเป็นเวลาราชการของข้าราชการผู้นั้น ทั้งนี้ การปฏิบัติงานในผลัดหรือกะหนึ่ง ๆ ต้องมีเวลาไม่น้อยกว่าแปดชั่วโมง โดยรวมเวลาหยุดพัก
22.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสมุดหมายเหตุรายวัน พ.ศ.2549
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสมุดหมายเหตุรายวัน ประกาศเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.. 2549 โดยมีคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้ คือ การลงทะเบียนนักเรียน ตามปกติต้องลงด้วยปากกาหมึกซึมสีดำ ห้ามการขูดลบเพิ่มเติม ถ้าเขียนผิดพลาดหรือตก จำเป็นต้องแก้ไข ก็ให้ขีดฆ่าด้วยปากกาหมึกซึมสีแดงโดยประณีต แล้วเขียนใหม่ด้วยปากกาหมึกซึมสีแดง การแก้ไขให้หัวหน้าสถานศึกษาเป็นผู้แก้ไข แล้วลงนาม วัน เดือน ปี ย่อกำกับไว้ด้วยทุกแห่ง กับให้ลงบันทึกแสดงเหตุผลที่แก้ไว้ในสมุดหมายเหตุรายวันด้วยการลงทะเบียนนักเรียนลงแล้วให้เป็นแล้วไป จะคัดลอกขึ้นหน้าใหม่ไม่ได้นอกจากได้รับอนุญาตจากหัวหน้าหน่วยงานเจ้าสังกัดที่สูงกว่าสถานศึกษาชั้นหนึ่ง สถานศึกษาเอกชนที่ตั้งอยู่ในส่วนกลางต้องได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการกองทะเบียน ที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาคต้องได้รับอนุญาตจากศึกษาธิการอำเภอ
กรณีการแก้ วัน เดือน ปีเกิด ถ้าเป็นนักเรียนที่อยู่ในเกณฑ์บังคับเข้าเรียนตามกฎหมายว่าด้วยประถมศึกษา ให้หัวหน้าหน่วยงานเจ้าสังกัดที่สูงกว่าสถานศึกษาชั้นหนึ่งเป็นผู้พิจารณาอนุญาต สถานศึกษาเอกชนที่ตั้งอยู่ในส่วนกลางให้ผู้อำนวยการกองทะเบียน เป็นผู้พิจารณาอนุญาต ที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาคให้ศึกษาธิการอำเภอเป็นผู้พิจารณาอนุญาต ส่วนนักเรียนหรือนักศึกษาที่ไม่อยู่ในเกณฑ์บังคับเข้าเรียนตามกฎหมายว่าด้วยประถมศึกษา ให้หัวหน้าสถานศึกษาเป็นผู้พิจารณาแก้ไขได้ กับให้ลงบันทึกแสดงเหตุผลที่แก้ไขไว้ในสมุดหมายเหตุรายวันด้วย
23.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการให้ข้าราชการลาไปศึกษาต่อ และฝึกอบรมภายในประเทศ พ.ศ.2538
    ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการให้ข้าราชการลาไปศึกษาต่อ และฝึกอบรมภายในประเทศ ประกาศเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.. 2538โดยมีนายสุขวิช รังสิตพล เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้ คือ ขั้นตอนการดำเนินการศึกษาต่อภายในประเทศ ภาคปกติ ประเภท ก
1. สพฐ. พิจารณาโควตาประเภท ก ที่ได้รับการจัดสรรจากสถาบันการศึกษาให้สพท. ตามความเหมาะสม
2. สพท. ประสานงานกับสถาบันการศึกษา เพื่อขอโควตา ประเภท ก เพิ่ม และดำเนินการคัดเลือกตามระเบียบ หลักเกณฑ์ และแนวปฏิบัติที่ สพฐ. กำหนด
3. โรงเรียนประสานกับสถาบันการศึกษา เพื่อขอโควตาประเภท ก เพิ่ม และดำเนินการคัดเลือกตามระเบียบ หลักเกณฑ์ และแนวปฏิบัติที่ สพฐ. กำหนด
4. สพท. แจ้งรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกไปยังสถาบันการศึกษาโดยตรงพร้อมทั้งแจ้งผู้ได้รับ การคัดเลือกไปดำเนินการตามขั้นตอนของสถาบันการศึกษาและรายงานสพฐ. ทราบ
5. ขั้นตอนการดำเนินการลาศึกษาของข้าราชการ
                    5.1 ข้าราชการขออนุญาตลาศึกษาต่อผู้มีอำนาจอนุญาต
                    5.2 จัดทำสัญญา และสัญญาค้ำประกันตามแบบที่กำหนด
6. ขั้นตอนการดำเนินการของผู้มีอำนาจอนุญาต (ผู้บริหารสถานศึกษา/สพท./สพฐ.)
      6.1 จัดทำคำสั่งให้ไปศึกษาต่อ
                    6.2 จัดทำหนังสือส่งตัวข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ลาศึกษา ไปยังสถาบันการศึกษา
7. การรายงานจำนวนข้าราชการที่ได้รับอนุญาตการรายงานจำนวนข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ลาศึกษา/ขยายเวลา/กลับเข้าปฏิบัติราชการเมื่อ เสร็จสิ้นการลาศึกษาต่อโดยรายงานให้สพฐ. ทราบทุกภาคการศึกษา
การลาศึกษาต่อ
1.ระดับปริญญาตรี ปริญญาโท กำหนด 2 ปี
2.ระดับปริญญาเอก กำหนด 4 ปี
2.คุณวุฒิและสาขาวิชา/วิชาเอกที่ สำนักงาน ก.พ. และ ก.ค. หรือ ก.ค.ศ. กำหนด/และเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ กรณีนอกเหนือจากที่ประกาศสพฐ. กำหนด ให้เสนอสพฐ. พิจารณา เป็นรายๆ ไป ยื่นแบบขออนุญาตให้ ข้าราชการไปศึกษาต่อภายในประเทศ ภาคปกติ ประเภท ข (แบบที่ 2) แนบผลการสอบคัดเลือกจากสถาบันการศึกษา และสำเนา ก.พ. 7
24.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการให้ข้าราชการลาไปศึกษาต่อ และฝึกอบรมภายในประเทศ (ฉบับที่2) พ.ศ.2547
                ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการให้ข้าราชการลาไปศึกษาต่อ และฝึกอบรมภายในประเทศ (ฉบับที่2) ประกาศเมื่อวันที่ 23กันยายน พ.. 2547 โดยมีนายอดิศัย โพธารามิก เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้คือ คุณสมบัติผู้ลาศึกษาต่อ
1. ต้องมีเวลารับราชการติดต่อกันไม่น้อยกว่า 24 เดือนเต็ม ทั้งนี้นับถึงวันที่ 15 มิถุนายน ของปีที่จะเข้าศึกษา กรณีมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ข้าราชการที่มีเวลารับราชการติดต่อกันน้อยกว่า24เดือนเต็ม แต่ไม่น้อยกว่า 12 เดือนเต็ม ไปศึกษาต่อในสาขาวิชาที่เป็นประโยชน์และจำเป็นอย่างยิ่ง จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้มีอำนาจอนุญาตเป็นรายๆ ไป
2. มีอายุไม่เกิน 45 ปี บริบูรณ์ นับถึงวันที่ 15 มิถุนายน ของปีที่จะเข้าศึกษากรณีอายุเกิน 45 ปี จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้มีอำนาจอนุญาตเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายทั้งนี้ต้องมีเวลากลับมาปฏิบัติราชการชดใช้ทุนครบก่อนเกษียณอายุราชการ
3.ปฏิบัติราชการด้วยดี มีความประพฤติเรียบร้อย และไม่อยู่ระหว่างถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัย ในกรณีที่ถูกลงโทษทางวินัย ระดับโทษต้องไม่สูงกว่าโทษภาคทัณฑ์
25.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนอะ พ.ศ.2547
       ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนอะ ประกาศเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.. 2547 โดยมีนายอดิศัย โพธารามิก เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเนื้อหาสาระที่ได้ คือ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายเป็นนายทะเบียนสถาบันศึกษาปอเนอะจังหวัด ทำหน้าที่จดทะเบียนสถาบันปอเนอะและมีหน้าที่ส่งเสริม กำกับ และสนับสนุนสถานศึกษาปอเนอะที่ได้จดทะเบียนแล้ว ให้นายทะเบียนออกหลักฐานการจดทะเบียนสถาบันสถานศึกษาปอเนอะ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับร้องขอ พร้อมเอกสารครบถ้วน ถูกต้อง ตามแบบ ป.น. 2
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาชุมชนอิสลามให้สอดคล้องกับสภาพในปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการอาจส่งเสริมและพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะตามความเหมาะสม
26.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนอะ (ฉบับที่2) พ.ศ.2548
             ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนอะ (ฉบับที่2) ประกาศเมื่อวันที่ 7กันยายน พ.. 2548 โดยมีนายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้ คือ ให้ยกเลิกคำนิยามคำว่า “โต๊ะครูและ “ผู้ช่วยโต๊ะครู” ในข้อ 3 แห่งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนาะ พ.. 2547 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
โต๊ะครู” หมายความว่า ผู้สอนที่มีความรู้ด้านศาสนาอิสลามเป็นอย่างดีเป็นที่เคารพนับถือของชุมชนและเป็นเจ้าของปอเนาะ
ผู้ช่วยโต๊ะครู” หมายความว่า ผู้ที่มีความรู้ด้านศาสนาอิสลามเป็นอย่างดีซึ่งโต๊ะครูให้ช่วยสอนในปอเนา
27. ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วย การมอบอำนาจในการสั่ง การอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการหรือการดำเนินการอื่นของผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2546
ตอบ ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วย การมอบอำนาจในการสั่ง การอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการหรือการดำเนินการอื่นของผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา ประกาศเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.. 2546 โดยมีนายไพฑูรย์ จัยสินเป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นอธิบดีกรมสามัญศึกษา รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ เนื้อหาสาระที่ได้ คือ การมอบหมายหรือมอบอำนาจให้ข้าราชการปฏิบัติราชการแทน ให้คำนึงถึงความเป็นอิสระ การบริหารงานที่คล่องตัวในการจัดการศึกษา ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมทั้งความรู้ ความสามารถและความเหมาะสมอื่นๆ ของผู้รับมอบอำนาจเพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการในระยะเริ่มแรกที่มีการกำหนดตำแหน่งอัตรา หรือแต่งตั้งข้าราชการดำรงตำแหน่งตามโครงสร้างใหม่ ผู้อำนวยการมอบหมาย หรือมอบอำนาจตามระเบียบนี้
28.ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยหลักเกณฑ์ การตรวจสอบ กำกับ ติดตาม ดูแล และรายงานผลการใช้อำนาจของผู้รับมอบอำนาจ พ.ศ.2551
       ตอบ     ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง การบริหารจัดการเกี่ยวกับเงินรายได้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2549
                ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549  ผู้ลงนามในระเบียบ นางพรนิภา  ลิมปพยอม เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
    เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้ สถานศึกษาต้องออกใบเสร็จรับเงินตามแบบที่ราชการกำหนดให้แก่ให้แก่ผู้ชำระเงินทุกครั้งที่มีการรับเงิน เว้นแต่กรณีที่ไม่สามารถออกใบสร็จรับเงินได้ ให้ใช้หลักฐานการรับเงินตามแบบที่ทางราชการกำหนดและต้องควบคุมใบเสร็จและหลักฐานการเก็บเงินไว้เพื่อตรวจสอบได้ และให้สถานศึกษาเก็บเงินสดไว้เพื่อสำรองจ่ายในวงเงินที่ทางคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดห้ามมิให้นำเงินรายได้สถานศึกษาไปเป็นค่าใช้จ่ายของสถานศึกษาแห่งอื่น เว้นแต่ได้รับอนุญาตจาเลขาธิการคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน
29.ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยการบริหารจัดการเกี่ยวกับเงินรายได้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2549
               ตอบ ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยการบริหารจัดการเกี่ยวกับเงินรายได้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา ประกาศเมื่อวันที่16กุมภาพันธ์ พ.. 2549 โดยมีนางพรนิภา ลิมปพยอม เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเนื้อหาสาระที่ได้ คือ สถานศึกษาต้องออกใบเสร็จรับเงินตามแบบที่ราชการกำหนดให้แก่ให้แก่ผู้ชำระเงินทุกครั้งที่มีการรับเงิน เว้นแต่กรณีที่ไม่สามารถออกใบสร็จรับเงินได้ ให้ใช้หลักฐานการรับเงินตามแบบที่ทางราชการกำหนดและต้องควบคุมใบเสร็จและหลักฐานการเก็บเงินไว้เพื่อตรวจสอบได้ และให้สถานศึกษาเก็บเงินสดไว้เพื่อสำรองจ่ายในวงเงินที่ทางคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด
ห้ามมิให้นำเงินรายได้สถานศึกษาไปเป็นค่าใช้จ่ายของสถานศึกษาแห่งอื่น เว้นแต่ได้รับอนุญาตจาเลขาธิการคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน
30.ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2551
ตอบ ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา ประกาศเมื่อวันที่ 7พฤษภาคม พ.ศ. 2551 โดยมีคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เป็นผู้ลงนามในระเบียบนี้ ซึ่งเป็นเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เนื้อหาสาระที่ได้ คือการปกครอง ดูแล บำรุงรักษาและใช้อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมีผู้อุทิศให้หรือมีการจัดซื้อจากรายได้ของสถานศึกษา ให้ผู้อำนวยการสถานศึกษารับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนามสถานศึกษา เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และเก็บรักษาหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินไว้ในที่ปลอดภัยไม่ให้สูญหายให้สถานศึกษาจัดทำทะเบียนรับและจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่สถานศึกษาไว้เป็นหลักฐานการรื้อและจำหน่ายอาคาร สิ่งปลูกสร้าง อยู่ในดุลพินิจของผู้อำนวยการสถานศึกษา โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน